วัดในจังหวัดพิษณุโลก - วัดตายม

 
 ตั้งอยู่เลขที่ 83 หมู่ที่ 1 ตำบลวัดตายม อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก

เป็นวัดประจำตำบล และยังเป็นชื่อเรียกของตำบล คือ ตำบลวัดตายม ซึ่งเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก เป็นที่ประดิษฐานขององค์ "หลวงพ่อยม" พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองชาวบ้านวัดตายมและชาวพิษณุโลก เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ ปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะที่งดงาม ศิลปะสมัยสุโขทัย สันนิษฐานว่าสร้างก่อนรัฐชสมัย พระมหาธรรมราชา (ลิไท) หรือสร้างราวปีพุทธศักราช ๑๗๘๗ กรมศิลปากรตรวจสอบและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติแล้ว ยืนยันอายุขององค์หลวงพ่อยมไม่ต่ำกว่า750 ปี หรือสร้างก่อนพระพุธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก (ชาวบ้านสมัยก่อนเชื่อว่า หลวงพ่อยมสร้างก่อนหลวงพ่อพระพุทธชินราช หลวงพ่อยมจึงเป็นพี่ของหลวงพ่อพระพุทธชินราช ) นอกจากหลวงพ่อยมแล้ว เบื้องหน้าขององค์หลวงพ่อยมยังมีสาวกประดิษฐานอยู่ด้วย 3องค์ ปางมารวิชัย สร้างในสมัยเดียวกัน


***ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า........
ในอดีตบริเวณวัดตายมคือเมืองสองแคว(เดิม) ก่อนที่จะย้ายไปตั้งที่ริมแม่น้ำน่าน ( สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชุมชนเก่าแก่แถววัดจุฬามณีเดิม ) และเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองพิษณุโลกในปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจากแม่น้ำสายใหญ่เปลี่ยนกระแสทิศทางการไหล ชาวเมืองจึงขาดแคลนอาหาร รวมทั้งการสัญจรทางน้ำไม่สะดวกเหมือนเก่า ใม่เหมาะที่จะเป็นชัยภูมิในการตั้งเมืองให้ปลอกภัยจากศัตรู " เจ้าเมือง " จึงทำการเสี่ยงทายเพื่อหาทำเลที่ตั้งเมืองใหม่ โดยการบวงสรวงเทพยดา แล้วทำการเสี่ยงทาย โดยปล่อยโคหนึ่งคู่ อธิษฐานว่า " หากโคคู่นี้เอาเขาไปขวิดลงดิน ณ ที่ใด แสดงว่าดินที่นั้นอุดมสมบูรณ์ ให้สร้างเมืองใหม่ ณ ที่แห่งนั้น " ปรากฏว่าโคที่ไล่ต้อนขึ้นไปทางทิศเหนือนั้น เอาเขาขวิดดิน ณ ที่แห่งใหม่ห่างจากตัวเมืองเก่าประมาณ ๔๐ กิโลเมตร จึงย้ายเมืองใหม่ แต่ให้คงชื่อเดิมว่า " เมืองสองแคว " ( เมืองพิษณุโลกปัจจุบัน ) เมืองสองแควเก่าจึงถูกทิ้งล้างนับแต่นั้นมา

สืบมาอีกหลายชั่วอายุ มีชาวบ้านอพยพมาอยู่อาศัยบริเวณเมืองร้างแห่งนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการอพยพของชาวบ้านจาก " เมืองบางยาง " ( เมืองเก่าในอำเภอนครไท จังหวัดพิษณุโลก ในปัจจุบัน ) โดยการนำของ นายยม ได้เข้ามาถากถางและจุดไฟเผาป่าที่รกทึบจนโล่งเตียนไปทั่วบริเวณ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ไฟไม่สามารถลุกลามเข้าไปใกล้ได้ นายยมจึงเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงพบพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะที่งดงามประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ไม่มีหลังคาปกปิด เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก นายยมจึงได้ริเรื่มชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ โดยนำไม้มาทำโครงหลังคาแล้วมุงด้วยแฝกกันแดดกันฝนให้องค์หลวงพ่อ หลังจากนั้นเรื่อยมา ก็มีพระภิษุเดินทางมาพำนักขณะออกธุดงค์ จนกลายเป็นที่พำนักสงฆ์ตลอดมา ชื่อของ " หลวงพ่อยม " นั้น ก็เรียกตามชื่อของ นายยม หรือ ตายม ผู้ที่พบองค์หลวงพ่อและเป็นผู้บูรณปฏิสังขรณ์นั่นเอง จนเป็นที่เคารพศรัทธา และเมื่อมีประชาชนมาอาศัยอยู่มากขึ้น ประชาชนจึงพร้อมใจกันสร้างวิหารที่ทำด้วยไม้ หลังคามุงด้วยสังกระสี แล้วบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด ด้วยความเก่าแก่และความศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั่วไปทั้งใกล้และไกล เดินทางมาสักการบูชา รวมทั้งบนบาลศาลกล่าวแทบทุกวันมิได้ขาด จึงเป็นเหตุแห่งความเจริญเรื่อยมา

ปัจจุบัน " วิหารหลวงพ่อยม " ก่อด้วยอิฐถือปูนหลังคาทรงไทยมุงด้วยกระเบื้อง หน้าบันประดับตกแต่งอย่างสวยงามด้วยลวดรายปูนปั้นและแบบติดพิมพ์ ภายในมีภาพเขียนบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ <( เมื่อประมาณ พ.ศ. 2510 มีชาวบ้านเข้ามาอาศัยมากขึ้น ประกอบกับช่วงนั้นวัตถุโบราณกำลังเป็นที่ต้องการของกลุ่มพ่อค้านายทุน จึงมีนักขุดหาสมบัติมากมาย ได้เข้ามาขุดค้นหาของมีค่า บรรดาโบราณสถานต่าง ๆ จึงถูกทำลายลง มีผู้เล่าว่าในเมืองโบราณนั้นมีพระพุทธรูปมากมายที่จมดินอยู่ บ้างก็โผล่ระดับพระอุระ บ้างก็โผล่แค่พระเกศ มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ถ้วยชาม ลูกปัด ของใช้ และพระพิมพ์ต่าง ๆ บรรดาเจดีย์ ซากวิหาร พระปรางค์ พระพุทธรูปต่างๆ รวมทั่งโบราณสถานต่างๆจึงถูกทุบทำลายแทบหมดสิ้น บรรดาของมีค่าถูกขายให้นายทุนและถูกเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ) >
> ไม่เว้นแม้แต่ " องค์หลวงพ่อยม " ที่มีคนเคยทำลายมาแล้วหลายครั้ง เพราะหวังที่จะหาของมีค่าภายในองค์หลวงพ่อ แต่คนที่คิดทำลายก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย เช่น มีคนประมาณ 4-5คน ลอบเข้าไปตัดเศียรหลวงพ่อยม แต่แล้วก็ไปไหนไม่ได้ คนร้ายเดินวนเวียน เดินแบกเศียรหลวงพ่ออยู่บริเวณวัดจนเช้า ซึ่งก็เป็นคนในหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลวัดนัก หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกโจรก็ฆ่าลูกฆ่าเมียฆ่าพวกโจรด้วยกันเองตายจนหมดสิ้น และยังมีอีกกรณีหนึ่งโจรลักรอบเข้าไปตัดเศียรสาวกองค์ซ้ายสุดด้านหน้าหลวง พ่อยมด้วย แต่โจรก็ไปไหนไม่ได้ไกล โจรนำเศียรไปทิ้งไว้ห้างนาแห่งหนึ่งไม่ไกลจากวัดนัก และชีวิตก็มีอันเป็นไป
>กรมศิลปากรก็ได้นำเศียรกลับมาต่อให้คงสภาพเดิมไว้ทุกประการ จากนั้นมาชาวบ้านก็ได้ช่วยกันสอดส่องดูแลมาโดยตลอดแล้วยังได้ปิดช่องด้านหลังตรงแท่นบัวขององค์หลวงพ่อยมเสีย เพราะชาวบ้านเชื่อว่ามีสมบัติมากมายถูกเก็บรักษาไว้ภานในนั้น ( เนื่องจากมีคนเคยกลิ้งลูกมะกูดหรือลูกมะนาวเข้าไปภายในช่องนั้น จะได้ยินเสียงดังกังวานเป็นทางยาว เมื่อถึงพื้นจะได้ยินเสียงกระทบดังกลาวคล้ายเสียงสมบัติของมีค่าต่างๆอยู่ภา นในมากมาย )
>นอกจากนั้นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งยังได้ช่วยกันขนซากอิฐ ซากกำแพงจากเมืองเก่ามาสร้างเจดีย์ไว้สามองค์ด้วยกัน อยู่ด้านหน้าวิหารองค์หลวงพ่อยม แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงสององค์เท่านั้น


ในปีพุทธศักราช 2495 ชาวบ้านวัดตายมได้จัดสร้างพระอุโบสถขึ้น แล้วผูกพัทธสีมาปิดทองผังลูกนิมิต วัดจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัดที่ถูกต้องสมบูรณ์กับ มหาเถระสมาคม กรมการศาสนา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๐

ลักษณะของพระอุโบสถหลังนี้มีความเก่าแก่ คือ โครงสร้างทั้งหมดเป็นไม้ ผนังกำแพงก่ออิฐถือปูน พระประทานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ แย้มพระศวรสวยงามมาก มีนามว่า " หลวงพ่อยิ้ม " หน้าบันเป็นลวดลายปูนปั้นเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ " มารผจน " หน้าทางเข้าทั้งสองด้านมีรูปปั้นสิงโตลอยตัว ศิลปะแบบจีน ปัจจุบันชำรุดทรุดโทรมไปมากและได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นทดแทน แล้วเสร็จทำการปิดทองฝังลูกนิมิตเมื่อ พศ.2551 และยังได้นำ " หลวงพ่อเย็น " พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ที่อดีตเคยเป็นพระประทานบนศาลาการเปรียญหลายสิบปี มาประดิษฐานด้านหน้าพระอุโบสถหลังใหม่ด้วย

จากอดีตถึงปัจจุบัน...... ยังมีประเพณีที่สืบทอดกันมาและยังคงอยู่ตราบทุกวันนี้คือ งานนมัสการปิดทองหลวงพ่อยม  ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันเพ็ญเดือน 3 ขึ้น 14-15 ค่ำ

การเดินทาง
วัดตายม อ.บางกระทุ่ม อยู่ระหว่างจ.พิจิตร กะ จ.พิษณุโลกห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกมาทางพิจิตร ราว 20 กม. ไม่มีรถสายกรุงเทพผ่าน ควรนั่งรถทัวร์มาลงที่พิษณุโลกแล้วต่อรถมาที่อ.บางกร ะทุ่ม ถ้าเป็นรถไฟก็ลงที่สถานีรถไฟบางกระทุ่มได้เลย

อ้างอิง
วิกิพิเดีย, นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555, www.BlogGang.com, http://travel.edtguide.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น