
***ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า........


ปัจจุบัน " วิหารหลวงพ่อยม " ก่อด้วยอิฐถือปูนหลังคาทรงไทยมุงด้วยกระเบื้อง หน้าบันประดับตกแต่งอย่างสวยงามด้วยลวดรายปูนปั้นและแบบติดพิมพ์ ภายในมีภาพเขียนบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ <( เมื่อประมาณ พ.ศ. 2510 มีชาวบ้านเข้ามาอาศัยมากขึ้น ประกอบกับช่วงนั้นวัตถุโบราณกำลังเป็นที่ต้องการของกลุ่มพ่อค้านายทุน จึงมีนักขุดหาสมบัติมากมาย ได้เข้ามาขุดค้นหาของมีค่า บรรดาโบราณสถานต่าง ๆ จึงถูกทำลายลง มีผู้เล่าว่าในเมืองโบราณนั้นมีพระพุทธรูปมากมายที่จมดินอยู่ บ้างก็โผล่ระดับพระอุระ บ้างก็โผล่แค่พระเกศ มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ถ้วยชาม ลูกปัด ของใช้ และพระพิมพ์ต่าง ๆ บรรดาเจดีย์ ซากวิหาร พระปรางค์ พระพุทธรูปต่างๆ รวมทั่งโบราณสถานต่างๆจึงถูกทุบทำลายแทบหมดสิ้น บรรดาของมีค่าถูกขายให้นายทุนและถูกเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ) >
> ไม่เว้นแม้แต่ " องค์หลวงพ่อยม " ที่มีคนเคยทำลายมาแล้วหลายครั้ง เพราะหวังที่จะหาของมีค่าภายในองค์หลวงพ่อ แต่คนที่คิดทำลายก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย เช่น มีคนประมาณ 4-5คน ลอบเข้าไปตัดเศียรหลวงพ่อยม แต่แล้วก็ไปไหนไม่ได้ คนร้ายเดินวนเวียน เดินแบกเศียรหลวงพ่ออยู่บริเวณวัดจนเช้า ซึ่งก็เป็นคนในหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลวัดนัก หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกโจรก็ฆ่าลูกฆ่าเมียฆ่าพวกโจรด้วยกันเองตายจนหมดสิ้น และยังมีอีกกรณีหนึ่งโจรลักรอบเข้าไปตัดเศียรสาวกองค์ซ้ายสุดด้านหน้าหลวง พ่อยมด้วย แต่โจรก็ไปไหนไม่ได้ไกล โจรนำเศียรไปทิ้งไว้ห้างนาแห่งหนึ่งไม่ไกลจากวัดนัก และชีวิตก็มีอันเป็นไป
>กรมศิลปากรก็ได้นำเศียรกลับมาต่อให้คงสภาพเดิมไว้ทุกประการ จากนั้นมาชาวบ้านก็ได้ช่วยกันสอดส่องดูแลมาโดยตลอดแล้วยังได้ปิดช่องด้านหลังตรงแท่นบัวขององค์หลวงพ่อยมเสีย เพราะชาวบ้านเชื่อว่ามีสมบัติมากมายถูกเก็บรักษาไว้ภานในนั้น ( เนื่องจากมีคนเคยกลิ้งลูกมะกูดหรือลูกมะนาวเข้าไปภายในช่องนั้น จะได้ยินเสียงดังกังวานเป็นทางยาว เมื่อถึงพื้นจะได้ยินเสียงกระทบดังกลาวคล้ายเสียงสมบัติของมีค่าต่างๆอยู่ภา นในมากมาย )
>นอกจากนั้นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งยังได้ช่วยกันขนซากอิฐ ซากกำแพงจากเมืองเก่ามาสร้างเจดีย์ไว้สามองค์ด้วยกัน อยู่ด้านหน้าวิหารองค์หลวงพ่อยม แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงสององค์เท่านั้น

ในปีพุทธศักราช 2495 ชาวบ้านวัดตายมได้จัดสร้างพระอุโบสถขึ้น แล้วผูกพัทธสีมาปิดทองผังลูกนิมิต วัดจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัดที่ถูกต้องสมบูรณ์กับ มหาเถระสมาคม กรมการศาสนา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๐
ลักษณะของพระอุโบสถหลังนี้มีความเก่าแก่ คือ โครงสร้างทั้งหมดเป็นไม้ ผนังกำแพงก่ออิฐถือปูน พระประทานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ แย้มพระศวรสวยงามมาก มีนามว่า " หลวงพ่อยิ้ม " หน้าบันเป็นลวดลายปูนปั้นเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ " มารผจน " หน้าทางเข้าทั้งสองด้านมีรูปปั้นสิงโตลอยตัว ศิลปะแบบจีน ปัจจุบันชำรุดทรุดโทรมไปมากและได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นทดแทน แล้วเสร็จทำการปิดทองฝังลูกนิมิตเมื่อ พศ.2551 และยังได้นำ " หลวงพ่อเย็น " พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ที่อดีตเคยเป็นพระประทานบนศาลาการเปรียญหลายสิบปี มาประดิษฐานด้านหน้าพระอุโบสถหลังใหม่ด้วย
จากอดีตถึงปัจจุบัน...... ยังมีประเพณีที่สืบทอดกันมาและยังคงอยู่ตราบทุกวันนี้คือ งานนมัสการปิดทองหลวงพ่อยม ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันเพ็ญเดือน 3 ขึ้น 14-15 ค่ำ
การเดินทาง
วัดตายม อ.บางกระทุ่ม อยู่ระหว่างจ.พิจิตร กะ จ.พิษณุโลกห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกมาทางพิจิตร ราว 20 กม. ไม่มีรถสายกรุงเทพผ่าน ควรนั่งรถทัวร์มาลงที่พิษณุโลกแล้วต่อรถมาที่อ.บางกร ะทุ่ม ถ้าเป็นรถไฟก็ลงที่สถานีรถไฟบางกระทุ่มได้เลย
อ้างอิง
วิกิพิเดีย, นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555, www.BlogGang.com, http://travel.edtguide.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น